อาการ กระพุ้งแก้มเป็นเส้น คืออะไร มีสาเหตุมาจากอะไร
วันนี้เราขอมาพูดถึง อาการที่อาจเกิดขึ้นได้กับตัวคุณ เมื่อกระพุ้งแก้มของคุณเป็นเส้นสามารถนำไปสู่โรคอะไรได้บ้าง และโรคที่เราจะพูดถึงคือ โรค ไลเคน พลานัส (Lichen Planus) เป็นอาการอักเสบชนิดเรื้อรังที่พบได้ตามบริเวณผิวหนัง เส้นผม เล็บ และเนื้อเยื่อเมือกหรือเยื่อเมือกบุผิว
สาเหตุเกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการอักเสบขึ้น ทั้งนี้ Lichen Planus ไม่ใช่โรคติดต่อและมักไม่มีอาการรุนแรง ผู้ป่วยอาจหายดีได้โดยไม่ต้องใช้วิธีรักษาทางการแพทย์ เพียงดูแลสุขภาพตัวเองให้มากขึ้นและหมั่นสังเกตอาการ แต่หากมีอาการรุนแรงควรไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาอย่างสม่ำเสมอ
อาการของไลเคน พลานัส
ลักษณะอาการของโรคนี้ขึ้นอยู่กับบริเวณที่เกิดการอักเสบ ซึ่งโดยทั่วไปมักพบบริเวณที่มีเนื้อเยื่อเมือก เช่น ภายในช่องปาก หนังศีรษะ และเล็บ อาการที่พบได้บ่อย มีดังนี้
- มีลายเส้นสีขาวคล้ายลูกไม้ภายในปากบริเวณกระพุ้งแก้ม เหงือก ริมฝีปาก หรือลิ้น
- มีแผลในปากหรือบริเวณอวัยวะเพศ
- เกิดผื่นหรือตุ่มนูนแบนสีม่วงคล้ำบริเวณแขนด้านใน ข้อมือ ข้อเท้า หรืออวัยวะเพศด้านนอก
- มีตุ่มน้ำขึ้นตามผิวหนัง ซึ่งหากตุ่มน้ำแตกออกจะเกิดเป็นแผลตกสะเก็ดตามมา
- คันบริเวณที่มีผื่นขึ้น
เมื่อมีแผลเกิดขึ้นจะมีอาการที่ไม่รุนแรงมากนัก และแผลที่เกิดขึ้นอาจแพร่กระจายไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้ โดยใช้เวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์ และอาจต้องใช้เวลานานกว่า 6 – 16 เดือนกว่าผื่นหรือแผลต่าง ๆ จะหายหมด หากมีผื่นหรือตุ่มขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ ควรพบแพทย์เพื่อเข้ารับการรักษา
สาเหตุของไลเคน พลานัส
ปัจจุบันนี้ยังไม่สามารถหาสาเหตุที่แน่ชัดได้ ซึ่ง ไลเคน พลานัส เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติ และเข้าทำลายเซลล์ผิวหนังและเนื้อเยื่อเมือกในร่างกาย โดยอาจมีปัจจัยกระตุ้นให้เกิดอาการ ดังนี้
- กรรมพันธุ์พบได้ในผู้ที่เคยมีบุคคลในครอบครัวเคยเป็นโรคนี้มาก่อน ซึ่งสามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมไปสู่ลูกหลานได้
- เพศโรค Lichen Planus อาการที่เกิดขึ้นในปากส่วนมากพบในเพศหญิงมากกว่าเพศชายถึง 2 เท่า โดยสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งเพศหญิงและเพศชาย
- อายุโรคนี้เกิดขึ้นได้กับคนทุกวัย แต่มักพบในผู้ป่วยวัยกลางคน พบได้น้อยมากในเด็กและผู้สูงอายุ
- ความเครียดส่งผลต่อการทำงานในส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย และกระตุ้นให้เกิดโรคนี้ได้เช่นกัน
- การแพ้จากการสัมผัส เช่น วัสดุในการอุดฟันที่ก่อให้เกิดอาการระคายเคืองภายในช่องปาก แต่พบได้น้อย หรือการสัมผัสสารหนู สารประกอบไอโอดีน และสารย้อมสีบางชนิด
การวินิจฉัยไลเคน พลานัส
หากพบว่ามีแผลในช่องปากหรือที่กระพุ้งแก้มเป็นเส้น ควรพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุและรับการรักษาที่เหมาะสม โดยแพทย์จะตรวจร่างกายและซักอาการ รวมทั้งสอบถามประวัติการรักษาโรคต่าง ๆ หากสงสัยว่าผู้ป่วยมีอาการของโรค Lichen Planus แพทย์อาจสั่งตรวจด้วยวิธีอื่น ๆ เพิ่มเติม ดังนี้
- การเก็บตัวอย่างชิ้นเนื้อ
แพทย์จะเก็บตัวอย่างเนื้อเยื่อบริเวณที่มีอาการไปตรวจหาความผิดปกติด้วยกล้องจุลทรรศน์
- การตรวจหาเชื้อไวรัสตับอักเสบซี
เนื่องจากไวรัสตับอักเสบซีสามารถส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกันได้ ดังนั้น หากสงสัยว่าผู้ป่วยเป็นโรคนี้เนื่องจากติดเชื้อดังกล่าว แพทย์จะเจาะเลือดเพื่อนำไปตรวจหาเชื้อ
- การทดสอบการแพ้
ในบางกรณีแพทย์อาจให้ผู้ป่วยทดสอบว่ามีอาการแพ้สารประกอบใดที่อาจกระตุ้นให้ระบบภูมิคุ้มกันเกิดความผิดปกติหรือไม่
การรักษาไลเคน พลานัส
หากมีอาการไม่รุนแรงมากนักท่านไม่ต้องเข้ารับการรักษา ซึ่งจะดีขึ้นเองภายในเวลาไม่กี่สัปดาห์ แต่หากเกิดอาการรุนแรงคนไข้อาจต้องใช้เวลาในการรักษานานถึงประมาณ 2 ปี จึงจะหายสนิท และหากเป็นการอักเสบที่เกิดขึ้นกับเนื้อเยื่อเมือก การรักษาอาจเป็นไปได้ยากหรืออาจกลับไปเป็นซ้ำได้ โรคนี้ยังไม่มีการรักษาโดยตรง แต่บรรเทาอาการที่เกิดขึ้นได้ด้วยวิธีดังนี้
- การใช้ยาแก้แพ้ยาแก้แพ้มีฤทธิ์ช่วยป้องกันสารฮีสตามีนที่เป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการอักเสบ และช่วยลดอาการคันหรือเจ็บปวดได้
- การใช้ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์แพทย์อาจให้ผู้ป่วยใช้ยาชนิดนี้ช่วยบรรเทาอาการอักเสบ โดยมีทั้งชนิดยารับประทาน ยาทา หรือยาฉีด แต่ยานี้อาจทำให้เกิดอาการข้างเคียงที่ทำให้ผิวหนังระคายเคือง ผิวหนังบริเวณที่ทายาบางลง ปวดท้อง หรือเกิดเชื้อราในปากได้ และควรใช้ในระยะสั้น ๆ เท่านั้น เพื่อลดผลข้างเคียงจากการใช้ยา
- การใช้ยาปรับภูมิคุ้มกันแพทย์อาจใช้ยาที่มีฤทธิ์กดภูมิคุ้มกันหรือปรับการตอบสนองของภูมิคุ้มกัน เพื่อช่วยให้อาการของโรคทุเลาลง แต่เป็นยาที่ต้องใช้ตามใบสั่งแพทย์เท่านั้น
การป้องกันไลเคน พลานัส
ท่านต้องหมั่นสังเกตตนเองว่าหากพบความผิดปกติหรือสงสัยว่าตนเองมีอาการของโรคนี้ ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจรักษา ซึ่งโรคนี้เป็นโรคที่ไม่สามารถป้องกันได้ เพราะมีสาเหตุมาจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันที่ยังไม่ทราบเหตุของการเกิดโรคที่แน่ชัด
บทสรุป
กระพุ้งแก้มเป็นเส้น สามารถนำไปสู่โรคต่าง ๆ ได้ ซึ่งท่านต้องหมั่นสังเกตความผิดปกติ และหากเริ่มมีอาการและสงสัยว่าจะนำไปสู่โรคร้าย ท่านควรเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์เพื่อให้แพทย์ทำการวินิจฉัยและทำการรักษาต่อไป